วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติและกติกาเทนนิส

ประวัติ

กีฬายอดนิยมอีกชนิดหนึ่งคือ เทนนิส หรือเรียกว่า ลอนเทนนิส (LawnTennis) เพราะกีฬาประเภทนี้เล่นในสนามหญ้า คำว่า Lawn แปลว่า สนามหญ้าและมีกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่มีคำว่าเทนนิสอยู่ด้วยคือ เทเบิลเทนนิส คนทั่วไปนิยมเรียกง่ายๆ ว่า ปิงปอง ลอนเทนนิสในปัจจุบันได้วิวัฒนาการไปมาก และไม่จำเป็นต้องเล่นกันในสนาม อาจจะเล่นกันในห้องที่มีหลังคา พื้นไม้ หรือพื้นคอนกรีต แต่อย่างไรก็ตาม กีฬาประเภทนี้ยังได้ชื่อว่าลอนเทนนิสอยู่ดังเดิม เพราะเทนนิสแท้จริงนั้นเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่เล่นกันในคอร์ตที่มีหลังคา แล้วใช้แร็กเกตที่ใหญ่กว่าแร็กเกตลอนเทนนิสธรรมดา ส่วนลูกบอลจะคล้ายลกูซอฟต์บอล หรือเบสบอล กีฬาเทนนิสเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนลอนเทนนิสเพิ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ในสมัยกรีกและโรมัน มีกีฬาซึ่งคล้ายกับเทนนิส ที่เล่นกันเมื่อประมาณ 1,300 ปี ก่อนคริสต์ศักราชกีฬาประเภทนี้เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า เจอ เดอ ปุม (Jue de Paume) ชาวฝรั่งเศสนำเข้ามาเล่นในประเทศฝรั่งเศส โดยระยะแรกใช้ตบด้วยมือ (คล้ายวอลเลย์บอล) แต่ต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นใช้แร็กเกต สำหรับกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับเทนนิสที่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏเป็นครั้งแรกในอิตาลีเมื่อปี พ.. 2098 จนในศตวรรษที่ 16 และ 17 จึงได้แพร่หลายไปในอังกฤษ ศตวรรษที่ 18 กีฬาชนิดนี้ได้ซบเซาลง แต่ได้เริ่มนิยมเล่นกันอีกในหมู่ผู้มั่งคั่ง เมื่อราวศตวรรษที่ 19
                  คำว่า เทนนิส มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า เทเนซ์ (Tenez) ซึ่งแปลว่า จะเอาไป, เล่นโดยมีชาวอังกฤษชื่อ W. Skeet ผู้ซึ่งมีความชำนาญ และมีชื่อเสียงให้การสนับสนุนว่า เทเนซ์เป็นของดั้งเดิมจริง แต่เขียนว่า เทเนทซ์ (Tenez) ซึ่งหมายความว่า เอาใจใส่ หรือระวัง โดยมีความหมายเหมือนกับในปัจจุบันคือ เล่น นาย Malcolm D. Whitman ผู้เขียนเรื่องความเป็นมาและความมหัศจรรย์ของเทนนิสกล่าวว่า การเล่นเจอ เดอ ปุม ได้ปรากฏก่อนเทนเนซ์    ในปี พ.. 2416 พันตรี Walter C. Wingfield แห่งกองทัพบกอังกฤษได้ดัดแปลงการเล่นเทนนิสซึ่งเล่นกันในร่ม ไปเล่นในสนามกลางแจ้ง พร้อมทั้งนำเอาแร็กเกตแบดมินตันและคอร์ตเทนนิสมารวมกันเข้า และดัดแปลงเป็นกีฬาใหม่เรียกว่า สไพริสไตค์ (Sphairistike) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นลอนเทนนิส เพราะเป็นกีฬาที่เล่นในสนามหญ้า และมีวิธีการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาเทนนิสสมัยเดิมมาก ในขั้นแรกใช้คอร์ตที่มีรูปร่างเหมือนนาฬิกาทราย ตาข่ายสูง 7 ฟุต กั้นกลางสนาม และภายหลังจากเขาได้แนะนำกีฬาชนิดนี้ ให้ประชาชนได้รู้จักกันเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยงที่สนามปาร์ตี้ (Lawn Party) ณ เวลส์ ในปี พ.. 2417 Walter C.Wingfield ได้จดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ของสนาม และตาข่าเคลื่อนที่ของเขา จนกระทั่งในปี พ.. 2418 ประชาชนได้เรียกร้องให้เลิกสงวนลิขสิทธิ์นี้ กีฬาเทนนิสจึงได้แพร่หลาย เพื่อความสะดวกของผู้เล่น สมาคมโครเกต์แห่งอังกฤษที่วิมเบิลดันได้อุทิศสนามให้เป็นที่เล่นกีฬาใหม่ชนิดนี้ และทางสมาคมยังได้จัดการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลกประเภทสมัครเล่นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.. 2420 ทำให้มีการแข่งขันลอนเทนนิสที่มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาในปีพ..2431 ได้มีการก่อตั้งสมาคมลอนเทนนิสแห่งชาติขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งต่อมาสมาคมนี้มีชื่อว่า "ลอนเทนนิสสมาคม" และได้จัดพิมพ์กติกาของเลนเทนนิสขึ้นเป็นทางการเมื่อปี พ.. 2437
ในปี พ.. 2455 องค์การเทนนิสสากลได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อประสานงานระหว่างสมาคมในประเทศต่างๆ เช่น ให้ใช้กติกาที่เป็นสากล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สมาคมต่างๆ จะต้องรับผิดชอบในการควบคุมการแข่งขันในประเทศของตน
ต่อมาในปี พ.. 2466 Hazel Hotchkiss Wightman ซึ่งเคยเป็นผู้ชนะเลิศหญิงเดี่ยวของสหรัฐอเมริกาติดต่อกันหลายปี ได้มอบถ้วยที่ชื่อว่า ไวท์แมนคัพ (Wightman Cup) สำหรับการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศประเภทหญิง ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ การแข่งขันครั้งนี้สลับกันปีละครั้งกับเดวิสคัพ ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจะต้องเข้าแข่งขันประเภทเดี่ยว 4 ครั้ง และประเภทคู่ 2 ครั้ง
เกมไทเบรค คือ การเล่นเกมสุดท้ายอันเป็นเกมตัดสินนั่นเอง ในเกมนี้ผู้เล่นที่ทำคะแนนถึง 7 พ้อยท์ เป็นคนแรกจะชนะเกมเซ็ท ยกเว้นที่ในกรณีทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้ 6 พ้อยท์เท่าซึ่งเกมไทเบรคจะต้องดำเนินต่อไปจนกระทั่งผู้เล่นคนใดคนหนึ่งสามารถทำคะแนนนำอีกฝ่ายหนึ่งไปได้ 2 พ้อยท์รวมเช่น 9-7,16-14 ฯลฯ สำหรับในบางประเทศจะใช้เกมไทเบรคชนิด 5 พ้อยท์ เป็นเกณฑ์ตัดสิน อเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่กำหนดให้มีไทเบรคประเภทนี้ และได้ใช้ระบบนับแต้มที่เรียกว่า "No Ad Scoring" ซึ่งเป็นวิธีการนับเลขแบบก้าวหน้าเรียงขึ้นไปตามลำดับคือ 1,2,3,4 แทนที่จะเป็น 15,30,40 คนที่สามารถทำคะแนนได้ 4 แต้มคนแรกจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น
เป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาในการแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ที่ผู้เล่นทั้งในประเภทเดี่ยวและประเภทคู่จะเปลี่ยนข้างกันในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งจะทำกันหลังจากการแข่งขันในเกมที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และต่ไปเรื่อย ๆ เกมเว้นเกม การแข่งขันแต่ละเซ็ทจะแยกออกมาอย่างเด็ดขาด ดังนั้นถ้าหากว่าเซ็ทหนึ่งสิ้นสุดลงด้วยคะแนน 6-3 ก็จะมีการเปลี่ยนข้างกันในทันที แล้วจะมีการเปลี่ยนข้างกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อเกมแรกของเซ็ท ต่อมาสิ้นสุดลง สำหรับในกรณีที่เป็นการแข่งขันไทเบรคผู้เล่นจะเปลี่ยนข้างกันในทุก ๆ 6 พ้อยท์ เมื่อครบไทเบรคหนึ่งครั้งก็เท่ากับจบกันไปหนึ่งเกม


กติกา

การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นเซต แต่ละเซตแบ่งเป็นเกม แต่ละเกมเริ่มต้นด้วยคะแนน 0 ต่อ 0 การนับคะแนนเริ่มจาก 0-15 หรือ 15-0 โดยขานคะแนนของฝ่ายส่งลูกก่อน ตามด้วย 30 และ 40 ถ้าคะแนนเสมอกัน 40-40 เรียกว่า "ดิวซ์" (deuce) หากใครทำคะแนนสองแต้มติดต่อกันจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น และใครได้ 6 เกมก่อนจะเป็นผู้ชนะในเซต หากเสมอกัน 6-6 เกม ต้องแข่งขันกันในไทเบรก (tie-break) นับแต้ม 1, 2, 3, ... ใครได้ 7 แต้มก่อนเป็นฝ่ายชนะในเซตนั้น
ถ้าเป็นการแข่งขันในทัวนาร์เมนต์ทั่วไปจะแข่งกันเพื่อหาผู้ชนะใน 3 เซต ใครได้ 2 เซตก่อนเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเป็นแกรนด์สแลมจะแข่งกันเพื่อหาผู้ชนะใน 5 เซต
ใครได้ 7 แต้มก่อนเป็นฝ่ายชนะในเซตนั้น กรณีที่แต้มเท่ากัน 6-6 หรือ 7-7 ผู้ชนะจะต้องมีแต้มห่างจากคู่แข่งขัน 2 แต้มจึงจะถือว่าจบการแข่งขัน Tie Break เช่น กรณีแต้มเท่ากันที่ 7-7 ผู้ชนะต้องได้คะแนนห่างจากคู่แข่งขัน 2 แต้ม คือต้องได้ 9-7 จึงจะเป็นฝ่ายชนะ
ในประเภทคู่ ถ้าได้คู่ละเซตแล้ว ต้องตัดสินด้วย Super Tiebreak ใครถึง 10 คะแนนก่อนถือว่าเป็นฝ่ายชนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น